หนึ่ง

ฉันนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร จ้องมองจานอาหารร้อนๆ ที่เพิ่งทำเสร็จสลับกับมองหน้าคุณปู่ มือเหี่ยวย่นของปู่วางอยู่บนโต๊ะ นิ้วเคาะเบาๆ ขณะที่สายตาคอยชำเลืองมองไปที่ประตู สายออกซิเจนที่สอดอยู่ในจมูกส่งเสียงฟู่เบาๆ เชื่อมต่อกับถังออกซิเจนที่วางอยู่ข้างตัว ปู่ไม่ได้แตะอาหารเลยแม้แต่น้อย ยังไม่ได้หยิบส้อมขึ้นมาด้วยซ้ำ

อาหารยังคงอยู่เต็มจาน ไอร้อนลอยอ้อยอิ่งขึ้นไปในอากาศ กลิ่นหอมอบอวลไปทั่วห้องอาหารเล็กๆ ฉันใช้เวลาตลอดบ่ายทำของโปรดของคุณปู่ ทั้งสตูว์เนื้อตุ๋น มันบด และขนมปังข้าวโพดอบสดใหม่ อาหารแบบที่เคยนำความอบอุ่นมาสู่บ้านของเรา แบบที่ทำให้แม้แต่คืนที่หนาวที่สุดก็ยังรู้สึกสบาย แต่คืนนี้ บรรยากาศกลับหนักอึ้งไปด้วยความตึงเครียดที่ไม่มีใครเอ่ยออกมา จิตใจของปู่ไม่ได้อยู่กับอาหารตรงหน้า แต่อยู่ที่ธีโอ

ฉันดูออกจากการที่ปู่คอยเหลือบมองนาฬิกาเหนือประตู ใบหน้าที่ผ่านโลกมามากของท่านฉายแววแห่งความหวัง แต่ก็มีความรู้สึกอื่นปนอยู่ด้วย...ความรู้สึกที่เศร้ากว่านั้น

ฉันเอื้อมมือข้ามโต๊ะไปวางทับมือของปู่ สัมผัสได้ถึงผิวหนังที่บางและบอบบางใต้ปลายนิ้ว เส้นเลือดของท่านเป็นดั่งเครือข่ายแม่น้ำสีฟ้า ผิวหนังหยาบกร้านจากการทำงานหนักมาหลายปี "คุณปู่คะ ครั้งนี้พี่ธีโอมาทันแน่ค่ะ" ฉันพูดเบาๆ พร้อมกับบีบมือท่านเล็กน้อย "หนูเพิ่งคุยกับเขา เขาสัญญาแล้วค่ะ เดี๋ยวเขาก็มา"

คุณปู่ถอนหายใจ หน้าอกขยับขึ้นลงอย่างหนักหน่วง “เดี๋ยวนี้งานของธีโอทำให้มันไม่มีเวลาให้ครอบครัวเลย” ปู่พึมพำ น้ำเสียงเจือความผิดหวัง “อาทิตย์ที่แล้วมันก็ว่าจะมา อาทิตย์ก่อนหน้านั้นก็เหมือนกัน”

ฉันกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ไม่รู้จะพูดอะไรดี ปู่พูดไม่ผิดเลย พี่ธีโอเคยสัญญามาก่อนแล้ว...เป็นสิบๆ ครั้ง และทุกครั้งก็มีเรื่องด่วนเข้ามาเสมอ ประชุมบ้างล่ะ เจรจาธุรกิจตอนดึกบ้างล่ะ งานด่วนที่บริษัทบ้างล่ะ ข้ออ้างเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา

ถึงอย่างนั้น ฉันก็ยังฝืนยิ้ม พยายามจะสร้างบรรยากาศให้สดใสขึ้นมาบ้าง “แต่วันนี้เขาก็สละเวลามาแล้วนี่คะ อีกอย่าง...หนูเย็บสูทตัวใหม่ให้คุณปู่ใกล้เสร็จแล้วด้วย เหลืออีกไม่กี่ฝีเข็ม คุณปู่ก็จะดูหล่อเนี้ยบเลย”

คุณปู่ยิ้มบางๆ ริ้วรอยรอบดวงตาของท่านก็ขยับย่น “เอลล่า...หนูนี่ขยันหาอะไรมาทำให้ปู่ตลอดเลยนะ แต่เดี๋ยวนี้ปู่ไม่ได้ไปไหนแล้ว” น้ำเสียงของท่านแผ่วเบา แต่ความเศร้าในนั้นชัดเจนจนปฏิเสธไม่ได้

ฉันอยากจะบอกปู่ว่าท่านคิดผิด ท่านสมควรที่จะรู้สึกดี ดูดี แต่ก่อนที่ฉันจะได้พูดอะไร ปู่ก็ถอนหายใจอีกครั้งแล้วหยิบส้อมขึ้นมา “เรากินกันเถอะ เดี๋ยวอาหารจะเย็นหมด”

ทันทีที่ฉันอ้าปากจะตอบ ประตูหน้าก็เปิดออกดังเอี๊ยด ดวงตาของคุณปู่เป็นประกาย ความตึงเครียดบนใบหน้ามลายหายไป

ชั่วครู่ต่อมา ธีโอก็เดินเข้ามาด้วยพลังงานราวกับลมที่พัดเข้ามา รอยยิ้มของเขากว้างและชวนให้ยิ้มตาม “คุณปู่ครับ!”

เสื้อโค้ตของเขาไม่ได้ติดกระดุม เนกไทก็คลายหลวม แต่ไม่รู้ทำไมเขายังคงดูเนี้ยบ...เนี้ยบเกินไป ราวกับเป็นคนจากโลกที่ห่างไกลจากบ้านหลังเล็กๆ หลังนี้เหลือเกิน

ท่าทีของคุณปู่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง สีหน้าบึ้งตึงหายไป ถูกแทนที่ด้วยความอบอุ่นอย่างแท้จริง “ธีโอ” ปู่เอ่ยขึ้น น้ำเสียงแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความโล่งใจ

ธีโอไม่รอช้า เขาก้มลงกอดคุณปู่ รัดร่างท่านไว้แน่นจนฉันรู้สึกปวดหนึบในอก คุณปู่หัวเราะเบาๆ พลางตบหลังธีโอด้วยมือที่อ่อนแรง นิ้วของท่านสั่นเพียงเล็กน้อย พอธีโอผละออกมา เขาก็หันมาหาฉัน ส่งยิ้มที่ทำให้ช่วงเวลาหลายเดือนอันเงียบงันระหว่างเราเลือนหายไปได้อย่างง่ายดาย “หวัดดี เอลล่า”

“หวัดดี” ฉันตอบ เสียงเบากว่าที่ตั้งใจไว้ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมจู่ๆ ถึงรู้สึกประหม่าขึ้นมา

ธีโอทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามฉันแล้วถูมือไปมา “โห หอมสุดยอดไปเลย! น้องพี่ เก่งจริงๆ”

“ขอบใจจ้ะ” ฉันตอบพร้อมกับยิ้มบางๆ “ดีใจนะที่พี่มาได้ คุณปู่รออยู่เลย”

“ก็นี่ไง มาแล้ว” เขาหันไปยิ้มให้คุณปู่ “เป็นไงบ้างครับคุณปู่? ยังคอยคุมเอลล่าอยู่รึเปล่า?”

คุณปู่หัวเราะ—เสียงที่นานๆ จะได้ยินสักครั้ง—แล้วส่ายหน้า “เขาต่างหากที่คอยคุมปู่ ไอ้หนูเอ๊ย อย่าให้มันหลอกได้ล่ะ”

ธีโอหัวเราะลั่น เสียงหัวเราะของเขาก้องไปทั่วห้องและเติมเต็มมันด้วยชีวิตชีวา ฉันเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ มองดูคนทั้งสองคุยกันด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเปกันอย่างน่าประหลาด ทั้งโล่งใจที่ธีโอมา ทั้งดีใจแทนคุณปู่ แต่ก็มีความรู้สึกเจ็บปวดจางๆ...ซึ่งฉันเองก็บอกไม่ถูกว่าคืออะไร

ธีโอเริ่มเล่าเรื่องดีลธุรกิจใหญ่ที่เขาเพิ่งปิดได้ น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นขณะอธิบายถึงการเจรจาต่อรอง คุณปู่ตั้งใจฟัง พยักหน้าตามเป็นระยะ และกล่าวให้กำลังใจเป็นครั้งคราว

ฉันมองธีโอ สังเกตท่าทางเวลาเขาใช้มือประกอบการพูด ความมั่นใจของเขาแทบจะแผ่ออกมาท่วมท้นไปหมด เป็นเวลาหกเดือนแล้วที่ฉันไม่ได้เจอเขา ทั้งที่เราอยู่ในเมืองเดียวกัน

หกเดือน

ฉันถึงกับเคยไปที่ทำงานเขาครั้งหนึ่ง หวังว่าจะไปเซอร์ไพรส์ ฉันยืนอยู่ในล็อบบี้สุดหรู รู้สึกแปลกแยกท่ามกลางพื้นขัดมันวาวและเฟอร์นิเจอร์หนัง ตอนที่โทรหาเขา น้ำเสียงของเขาฟังดูหงุดหงิด บอกให้ฉันไปรอที่ร้านกาแฟแทนที่จะขึ้นมาหา ฉันรออยู่เกือบชั่วโมงกว่าเขาจะปรากฏตัว ทำท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แต่คืนนี้ เรื่องเหล่านั้นไม่สำคัญอีกต่อไป เขาอยู่ที่นี่ นั่งอยู่ตรงข้ามฉัน และเพื่อคุณปู่แล้ว ฉันก็ดีใจ

ระหว่างที่เราทานอาหาร ธีโอก็ชมไม่ขาดปาก แถมยังพูดติดตลกว่าเขาต้องแวะมาบ่อยๆ แล้วจะได้ “กินอาหารบ้านๆ รสชาติแท้ๆ” บ้าง คุณปู่หัวเราะเบาๆ แต่ฉันสังเกตเห็นความเศร้าจางๆ ในแววตาของท่าน

“แกควรมาบ่อยกว่านี้นะ ธีโอ” คุณปู่พูดขึ้นมาทันที น้ำเสียงหนักแน่นแม้จะแฝงความอ่อนแรง “ครอบครัวสำคัญที่สุดนะ เราไม่รู้หรอกว่าเหลือเวลาอีกเท่าไหร่”

ทั้งห้องเงียบลงชั่วขณะ ความหนักอึ้งในคำพูดของท่านทอดตัวลงปกคลุมเราทุกคน

สีหน้าของธีโอชะงักไป แต่เพียงชั่วครู่เดียว “ผมรู้ครับคุณปู่ ผมจะพยายามให้ดีขึ้นครับ แค่ช่วงนี้...งานมันยุ่งจริงๆ”

“อย่าให้มันกลืนกินชีวิตแกไปล่ะ” คุณปู่ตอบอย่างอ่อนโยน “ชีวิตยังมีอะไรมากกว่าเรื่องงานนะ”

ธีโอพยักหน้า แต่ฉันไม่แน่ใจว่าเขาจะจดจำคำพูดนั้นไว้ในใจจริงๆ หรือเปล่า

ฉันมองเขาที่กลับไปทานอาหารต่อ ท่าทางของเขาดูผ่อนคลาย แต่ในใจกลับล่องลอยไปที่อื่นอย่างเห็นได้ชัด เขากำลังคิดถึงดีลครั้งต่อไปอยู่หรือเปล่านะ? การประชุมครั้งหน้า?

ฉันอยากจะพูดอะไรบางอย่าง อยากจะเตือนเขาว่าคุณปู่จะไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป ว่าช่วงเวลานี้—มื้อค่ำนี้ เสียงหัวเราะนี้—สำคัญกว่าดีลธุรกิจไหนๆ แต่คำพูดกลับจุกอยู่ที่ลำคอ

ตลอดคืนที่เหลือ ฉันได้แต่นั่งฟังคุณปู่กับธีโอคุยกัน และจะพูดเสริมหรือร่วมวงสนทนาด้วยเป็นครั้งคราว

บทถัดไป